การจัดท่านอนสำหรับผู้ป่วยติดเตียง
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในระยะแรก กล้ามเนื้อจะยังอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต การเคลื่อนไหวลําบาก ร่างกายยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้ต้องนอนอยู่ท่าใดท่าหนึ่งนานๆ นำมาซึ่งปัญหาข้อยึดติด ข้อผิดรูป เช่นข้อเท้าตกกระดกไม่ขึ้นตามมาในภายหลัง นอกจากนี้ยังมีปัญหาแผลกดทับ แผลติดเตียงที่เกิดจากการกดทับในบริเวณปุ่มกระดูกต่างๆตอนที่นอนอยู่ท่าเดิมนานๆอีกทั้งสองปัญหานี้สามารถป้องกันได้หลายวิธี หนึ่งในวิธีที่หมอแนะนำ ทำได้ง่าย แต่ต้องใช้ความใส่ใจ คือ การจัดท่าขณะนอน (Bed positioning) สำหรับผู้ป่วย
การจัดท่านอนที่เหมาะสม หมั่นพลิกตัวผู้ป่วยติดเตียง นอกจากจะช่วยป้องกันปัญหาดังกล่าวแล้ว ยังช่วยให้ผู้ป่วยสบายตัว อารมณ์ดีอีกด้วย
โดยหมอขอแบ่งออกเป็น 3 ท่าการนอนหลัก ๆ คือ ท่านอนหงาย ท่านอนตะแคงทับข้างที่อ่อนแรง และท่านอนตะแคงทับข้างที่มีแรง โดยเปลี่ยนท่าให้ผู้ป่วยติดเตียงทุก ๆ 2 ชั่วโมงสลับกัน หรือบ่อยขึ้นหากผู้ป่วยมีรูปร่างผอม หรือมีความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับสูง ดังนี้
ท่านอนหงาย
เมื่อผู้ป่วยนอนหงายแล้ว เราต้องเช็คดูว่าท่านอนของผู้ป่วยถูกต้องดีไหม เริ่มจากศีรษะลงมาที่เท้า สเต็ปดังนี้
ส่วนศีรษะ
- ศีรษะของผู้ป่วยควรอยู่ในแนวตรง ไม่เอียง พับ ไปด้านใดด้านหนึ่ง
- ศีรษะหนุนอยู่บนหมอนใบเล็ก ๆ จัดหน้าให้ตรงหรือหันไปด้านที่เป็นอัมพาต ให้สังเกตดูว่าท่านั้น ผู้ป่วยสามารถนอนตรงหายใจได้สะดวก
- ช่วงไหล่ของผู้ป่วย เช็คว่าหัวไหล่ของผู้ป่วยผ่อนคลายหรือไม่ มีการเกร็งหรือไม่ มีการกดทับหรือไม่ หากรู้สึกว่าไม่สบาย มีการเกร็ง มีแรงกดทับที่มาก ควรนำหมอนบาง ๆ หนุนมาสอดรองหัวไหล่ไว้ เพื่อช่วยรองรับและลดแรงกด โดยเฉพาะไหล่และต้นแขนข้างที่เปนอัมพาต
- สำหรับข้อศอก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่อาจเกิดแผลกดทับได้ง่าย ต้องตรวจดูว่ามีแรงกดที่มากเกินไปหรือไม่ หากมากเกิน ควรนำหมอนใบเล็กๆ มาสอดรองไว้ เพื่อช่วยพยุงรับน้ำหนัก
- สำหรับข้อมือ เช่นเดียวกันกับข้อศอก คือหากมีแรงกดที่เยอะบริเวณข้อมือ ให้ลดแรงกดด้วยการนำหมอนใบเล็กมาสอดรองไว้เช่นกัน โดยขนาดของหมอนควรเลือกให้เหมาะสมกับแต่ละส่วนของร่างกาย
- สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเกร็ง มือกำจิกแน่น มือข้างที่เป็นอัมพาตให้ผู้ป่วยกํา hand roll หรือ ผ้าขนหนูผืนเล็กมาม้วนแล้วมาวางในอุ้งมือผู้ป่วย และจัดให้มืออยู่สูงกว่าระดับหัวใจ
- ช่วงบริเวณหลัง ของผู้ป่วยเช็คดูว่ามีช่องว่างระหว่างหลังกับที่นอนหรือไม่ หากมีให้ลองนำหมอนมาหนุนใต้หัวเข่าทั้ง 2 ข้างของผู้ป่วย แต่หากยังมีแรงกดที่มากอยู่บริเวณหลังส่วนล่าง อาจเพิ่มหมอนบาง ๆ อีกใบ เพื่อช่วยรองหลัง
- ขาทั้ง 2 ข้างของผู้ป่วยควรเหยียดตรง ไม่บิดหมุนหรือแบะออก เท้าตั้งขึ้นทั้ง 2 ข้าง หากพบว่าปลายเท้าบิด เหยียดเกร็ง หรือมีการหดเกร็งของปลายนิ้วเท้า ให้ใช้หมอนหรือใช้ trochanteric roll (หมอนดันตะโพก) วางไว้ไว้ที่ด้านข้างขา ข้างที่เป็นอัมพาต ให้ตรง ไม่แบะออก
- ข้อเข่าต้องเหยียดตรงและใช้หมอน หรือ foot board ยันเท้าไว้กันปลายเท้าตก
- ตาตุ่ม และส้นเท้า ควรนำหมอนมารองบริเวณเอ็นรอยหวาย เพื่อให้ส้นเท้าลอยเล็กน้อย เป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับที่ส้นเท้า และต้องระวังไม่ให้เข่าแอ่นตึงเกินไป
หลังจากจัดท่าให้ผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว ผู้ดูแลควรควรสอบถามหรือสังเกตสีหน้าผู้ป่วยดูด้วยว่ารู้สึกสบายดีหรือไม่ รู้สึกตึงเกิน หรือปวดเมื่อยตรงไหนอย่างไร และอย่าลืมว่าเราจะให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในแต่ละท่า ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ
ท่านอนตะแคงทับข้างที่มีแรง (ข้างที่ดี)
เมื่อผู้ป่วยอยู่ในท่านอนตะแคงแล้ว เราต้องเช็คดูว่าท่านอนของผู้ป่วยถูกต้องดีไหม เริ่มจากศีรษะลงมาที่เท้า สเต็ปดังนี้
ส่วนศีรษะ
- ศีรษะของผู้ป่วยควรอยู่ระนาบเดียวกันกับลำตัว ไม่ก้ม เงย หรือหมุนคว่ำจนผิดปกติ อาจโน้มศีรษะไปขางหน้าเล็กนอย
- ศีรษะของผู้ป่วยควรไม่หนุนหมอนที่สูงหรือเตี้ยจนเกินไป
- จัดนอนตะแคง ลําตัวตรง จัดไหล่ข้างที่เป็นอัมพาตงุ้มไปทางด้านหน้า
- ในท่านี้ แขนข้างที่อ่อนแรงจะอยู่ด้านบน ผู้ดูแลจึงควรนำแขนข้างที่อ่อนแรงมาทางด้านหน้า นำหมอนมารองแขนไว้เพื่อไม่ให้แขนห้อยตก
- ใช้หมอนรองแขนและมือใหสูงกว่าระดับหัวใจ มือข้างที่เป็นอัมพาตกํา hand roll
- การจัดขา เช่นเดียวกับการจัดแขน ให้ขาข้างที่เป็นอัมพาตอยู่บนหมอน โดยนำหมอนมารองขาข้างที่อ่อนแรง
- จัดขาด้านที่มีแรงให้เหยียดตรง
- จัดงอเข่าและตะโพกข้างที่อ่อนแรง เท้าวางอยู่บนหมอนเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อเท้าบิด
หลังจากที่จัดท่าเรียบร้อยแล้ว ก็มาดูว่ามีบริเวณไหนในร่างกายที่โดนกดมากเกินไปไหม เริ่มจากศีรษะ ไหล่ ข้อศอก ข้อมือ สะโพก หัวเข่า ตาตุ่ม หากพบว่ามีแรงกดทับที่บริเวณไหน ให้ลองขยับท่าเล็กน้อย หรือนำหมอนใบเล็กมาช่วยลดแรงกด
สุดท้าย หลังจากจัดท่าให้ผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว ผู้ดูแลควรควรสอบถามหรือสังเกตสีหน้าผู้ป่วยดูด้วยว่ารู้สึกสบายดีหรือไม่ รู้สึกตึงเกิน หรือปวดเมื่อยตรงไหนอย่างไร และอย่าลืมว่าเราจะให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในแต่ละท่า ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ
ท่านอนตะแคงทับข้างที่อ่อนแรง
เมื่อผู้ป่วยอยู่ในท่านอนตะแคงแล้ว เราต้องเช็คดูว่าท่านอนของผู้ป่วยถูกต้องดีไหม เริ่มจากศีรษะลงมาที่เท้า สเต็ปดังนี้
ส่วนศีรษะ- นอนตะแคง โน้มศีรษะไปข้างหน้าเล็กนอย ลําตัวตรง
- จัดไหล่ข้างที่เป็นอัมพาตงุ้มไปทางด้านหน้า หงายฝ่ามือ
- ต่อมาคือช่วงไหล่ของผู้ป่วย โดยข้างที่โดนทับจะเป็นข้างที่อ่อนแรง เราต้องระวังไม่ให้แขนข้างที่อ่อนแรงโดนทับ โดยจัดท่าทางให้แขนข้างที่อ่อนแรงเหยียดกางออกพร้อมกับงอขึ้นเล็กน้อย ส่วนแขนข้างที่มีแรงให้วางพาดลำตัวไว้หรือวางพาดบนหมอน
- หลังจากจัดแขนเรียบร้อยแล้ว ให้หาหมอนมาช่วยพยุงดันหลังให้ผู้ป่วยสามารถพิงได้ เพื่อเป็นการช่วยลดแรงกดทับที่หัวไหล่และแขนข้างที่อ่อนแรง
- ในส่วนของขา ขาข้างที่อ่อนแรงจะเป็นข้างที่โดนทับ ให้จัดขาข้างที่อ่อนแรงเหยียดตรง ไม่ให้เกิดการขัดบิด ส่วนขาข้างที่มีแรงให้จัดในท่างอไว้ พร้อมกับนำหมอนมารองขาข้างที่มีแรงให้พอดี
หลังจากที่จัดท่าเรียบร้อยแล้ว ก็มาดูว่ามีบริเวณไหนในร่างกายที่โดนกดมากเกินไปไหม มีความไม่สบายอยู่หรือไม่ บิดผิดท่าหรือไม่ เริ่มจากศีรษะ ไหล่ ข้อศอก ข้อมือ สะโพก หัวเข่า ตาตุ่ม หากพบว่ามีแรงกดทับที่บริเวณไหน มีความไม่สบายอยู่ หรือผิดท่าอยู่ ให้ลองขยับท่าเล็กน้อย หรือนำหมอนใบเล็กมาช่วยลดแรงกด
สุดท้าย หลังจากจัดท่าให้ผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว ผู้ดูแลควรควรสอบถามหรือสังเกตสีหน้าผู้ป่วยดูด้วยว่ารู้สึกสบายดีหรือไม่ รู้สึกตึงเกิน หรือปวดเมื่อยตรงไหนอย่างไร และอย่าลืมว่าเราจะให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในแต่ละท่า ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ
การจัดท่านอนที่เหมาะสม สำหรับผู้ป่วยติดเตียง...
นอกจากจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อแล้ว ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับ จากแรงกด หรือแรงไถลของท่าทางที่ผิดได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามนอกจากการจัดท่านอนที่ถูกต้องแล้ว ผู้ดูแลต้องไม่ลืมที่จะค่อยพลิกตัวผู้ป่วยติดเตียงทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดแผลกดทับ และเพื่อเพิ่มความสบายให้กับผู้ป่วยติดเตียงที่คุณรักนะคะ
สำหรับ การจัดท่านั่ง สำหรับผู้ป่วยติดเตียง มีเคล็ด(ไม่)ลับมาฝากที่บทความหน้า >> คลิกอ่านต่อได้ที่นี่
สำหรับผู้ป่วยที่มีแผลกดทับ หมอขอแนะนำ เคล็ดลับการดูแลการขับถ่ายผู้ป่วยติดเตียงเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ >> คลิกอ่านต่อได้ที่นี่
Reference:
บทความโดย
หมอมิ้นท์ พญ.วรัชยา วลัยลักษณาภรณ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองและระบบประสาท