เป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ จะหายเป็นปกติได้หรือไม่?

ผู้ป่วยหลายท่านเวลามาตรวจติดตามกับหมอ มักถามคำถามยอดฮิตว่า ตนเองจะกลับมาเป็นปกติได้หรือไม่? ใช้เวลานานเท่าไหร่? หมอเข้าใจดี คนไข้ทุกคนอยากหาย อยากกลับไปแข็งแรง ใช้ชีวิตได้ตามปกติดังเดิม

คงไม่มีคำตอบใดถูกต้องทั้งหมด... เนื่องจากโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตกนั้น เป็นโรคที่มีความซับซ้อน อาการผิดปกติและสิ่งที่เสียไปขึ้นกับตำแหน่งที่เกิดรอยโรค ผู้ป่วยแต่ละรายมีความแตกต่างกัน การที่จะพยากรณ์ว่ารายใดจะมีผลการรักษาฟื้นฟูดีจนปกติ เกือบปกติ มีความพิการบ้าง มีความพิการปานกลางหรือรุนแรงนั้น อาศัยหลายปัจจัย

โรคหลอดเลือดสมองตีบ จะหายเป็นปกติได้หรือไม่

การรักษาให้ได้ผลดีขึ้นอยู่กับ

1. เวลา

ยิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไร จะยิ่งมีโอกาสหายเป็นปกติได้มากเท่านั้น จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่เมื่อสังเกตพบความผิดปกติ ต้องรีบมารพ.ทันที ใกล้ที่สุด ให้เร็วที่สุด ไม่แนะนำให้รอสังเกตอาการ ดูว่าจะหายเองหรือไม่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ส่วนมากแย่ลงทั้งสิ้น หรือบางครั้งโชคดีหายเองจนสนิท จนไม่มาโรงพยาบาล แต่รู้หรือไม่ว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นอาจเป็นอาการเตือนของครั้งต่อไปที่มักจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิม จนอาจนำไปสู่ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต ในที่สุด 

2. ความรุนแรงและความบกพร่องของการทำงานของสมอง

ผู้ป่วยที่อาการรุนแรงน้อยจะมีโอกาสหายได้สูงกว่า ซึ่งความรุนแรงก็แปรผันไปตามพยาธิสภาพของโรค เช่น เกิดการตีบตันที่เส้นเลือดสมองเส้นใหญ่หรือเล็ก อันเป็นผลให้รอยโรคสมองกินบริเวณใหญ่แค่ไหน และอยู่บริเวณตำแหน่งใดของสมอง

3. ความพร้อมของเทคโนโลยีในการรักษา

ความพร้อมของเทคโนโลยีในการรักษา โดยใช้อุปกรณ์หรือเทคนิคที่เหมาะสมและยาที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นปัจจัยที่สำคัญของผลสำเร็จของการรักษา

สำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง ที่เกิดจากการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดในระยะเฉียบพลันที่มีการศึกษายืนยันแล้วว่าได้ผลดีชัดเจน ได้แก่

1. การให้ยาสลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำแก่ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (thrombolysis)

การให้ยาสลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำแก่ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันภายในเวลา 4.5 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ  จะเพิ่มโอกาสของการฟื้นตัวจากความพิการให้อาการกลับมาใกล้เคียงปกติได้ถึง 1.5 – 3  เท่า  เมื่อเทียบกับผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่ได้รับยา อย่างไรก็ตามการใช้ยานี้มีความเสี่ยงของเลือดออกในสมองได้ประมาณ 6%

ปัจจัยข้อนี้ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของเวลาที่ได้รับการรักษา ว่ายิ่งเร็วยิ่งดี

2. การให้รับประทานยาแอสไพริน (aspirin)

การให้รับประทานยาแอสไพรินอย่างน้อย 160 mg ต่อวันภายใน  24-48  ชั่วโมงหลังเกิดอาการ จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบตันซ้ำและเสียชีวิตลง (ระยะเวลาที่เหมาะสมควรยึดตามแพทย์ผู้ดูแล เนื่องจากอาจแตกต่างกันขึ้นกับสภาวะของผู้ป่วยแต่ละท่าน)

3. การดูแลผู้ป่วยในหอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (stroke unit)

การดูแลผู้ป่วยในหอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ที่มีการเฝ้าระวังอาการทรุดลงของโรค เฝ้าระวังมอนิเตอร์จังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ และเลือกใช้ยารักษาโรคหลอดเลือดสมองที่ตรงกับสาเหตุการเกิดโรค

4. อายุของผู้ป่วย (age)

ผู้ป่วยที่อายุน้อยมักจะฟื้นตัวได้ดีกว่า เนื่องจากมักยังไม่มีโรคร่วมอื่นที่มักเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูสมรรถภาพ เช่น โรคหัวใจ โรคทางจิตเวช และโรคไต


         นอกจากนี้การควบคุมความดัน การป้องกันภาวะแทรกซ้อน การทำกายภาพฟื้นฟู ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการฟื้นตัวของผู้ป่วยทั้งสิ้น

>> อ่านเพิ่มเติม ข้อแนะนำ การกายภาพบำบัดหลังการรักษาในระยะเฉียบพลัน

แต่เดิมมีความเชื่อว่าสมองส่วนใดถูกทำลายไปแล้วจะมีการเสียการทำงานไปอย่างถาวร แต่ในปัจจุบันมีการศึกษาเพิ่มขึ้น พบว่าสมองสามารถฟื้นตัวได้ และส่วนของสมองบริเวณข้างเคียงสามารถเรียนรู้มาทำงานทดแทนส่วนที่มีรอยโรคได้

แม้จะไม่ใช่ว่าสมองจะกลับมาทำงานได้ปกติดีทั้งหมด แต่หากได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพที่เหมาะสม ได้รับกำลังใจจากคนในครอบครัว ทุกคนร่วมมือกันในการดูแลยามที่ผู้ป่วยท้อแท้ ย่อมจะยิ่งทำให้การทำงานของร่างกายนั้นเป็นไปอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ตอบคำถามยอดฮิต! ต้องฝึกมากแค่ไหน กล้ามเนื้ออ่อนแรงจึงจะดีขึ้น

 

บทความโดย

หมอมิ้นท์ พญ.วรัชยา วลัยลักษณาภรณ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองและระบบประสาท